การออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
หรือการออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (Strengthening Exercises or Resistance Exercises)
ในการทำกิจวัตรประจำวันหรือกิจกรรมต่างๆ
ล้วนแล้วแต่ต้องมีการเคลื่อนไหวร่างกาย
ซึ่งต้องอาศัยการทำงานของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อเป็นหลัก สำหรับการเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นเพราะจะช่วยส่งเสริมให้เกิดการเคลื่อนไหวที่มีประสิทธิภาพ
ป้องกันการบาดเจ็บหรือการเกิดภาวะความผิดปกติทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น
เช่น ภาวะกล้ามเนื้อฉีกขาดจากการใช้งาน (Muscle strain)
ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงจนส่งผลต่อลักษณะท่าทางของร่างกายที่ผิดปกติ (Postural
imbalance) ภาวะเสี่ยงต่อการล้มในผู้สูงอายุ(Risk to fall) เป็นต้น รวมถึงเป็นพื้นฐานการต่อยอดความสามารถด้านการออกกำลังกายในรูปแบบที่ยากขึ้นได้
ปัจจุบันการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของร่างกายมีรูปแบบ
ลักษณะ รวมถึงวิธีการที่ค่อนข้างหลากหลาย
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชอบและความเหมาะสมทางด้านร่างกายของแต่ละคน ตัวอย่างเช่น
การเล่นเวท (Weight training) การออกกำลังกายโดยใช้น้ำหนักตัวเป็นแรงต้าน
(Bodyweight or Calisthenics exercise) การฝึกพลัยโอเมตริก (Plyometric
exercise) การออกกำลังกายด้วยยางยืด (Band resistance) เป็นต้น ในความเป็นจริงการฝึกเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ มักมีการฝึกควบคู่กับสมรรถภาพเชิงทักษะปฏิบัติ
ได้แก่ ความคล่องตัว (Agility) การทรงตัว (Balance) การประสานสัมพันธ์การทำงานของร่างกาย
(Co-ordination) พลังกล้ามเนื้อ (Power)
เวลาปฏิกิริยาตอบสนอง (Reaction time) และความเร็ว (Speed) ซึ่งนิยมฝึกในนักกีฬาหรือผู้ที่ต้องการเพิ่มระดับความก้าวหน้าในการฝึก
ไม่แนะนำในส่วนของผู้เริ่มต้นฝึก
เพราะอาจส่งผลต่อการบาดเจ็บระบบกระดูกและกล้ามเนื้อได้ง่าย
ในส่วนของผู้สูงอายุ
การฝึกเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจะเน้นฝึกควบคู่กับการฝึกการทรงตัวเป็นหลัก
เพื่อป้องกันภาวะเสี่ยงล้ม โดยการฝึกให้เกิดความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลำตัว กล้ามเนื้อสะโพก รวมถึงกล้ามเนื้อขา แล้วจึงฝึกการรับรู้ตำแหน่งข้อต่อเพิ่มเติม
ทุกท่านจะเห็นได้ว่าการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อนั้น
มีความสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายในระบบกระดูกและกล้ามเนื้อค่อนข้างมาก
ดังนั้น บทความในครั้งนี้จึงมุ่งเน้นให้ทุกท่านเข้าใจถึงหลักการ รูปแบบ
รวมถึงการปรับความหนักในการออกกำลังกาย
เพื่อสามารถนำไปใช้ในการออกกำลังกายได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
หัวข้อ
|
รายละเอียด
|
1. ความถี่
(Frequency)
|
- ภายใน 1 สัปดาห์ ควรออกกำลังกายให้ครบทั้ง 3
ส่วน ได้แก่ ส่วนบน (บ่า ไหล่ อก แขน หลังส่วนบน) ส่วนลำตัว (ท้อง
หลังส่วนล่าง ก้น) และส่วนล่าง (สะโพก ขา)
หมายเหตุ: การแบ่งส่วนในการออกกำลังกายขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล บางรายอาจ
ออกกำลังกายควบส่วนลำตัวกับส่วนล่างเป็นส่วนเดียวกัน
|
- ออกกำลังกายอย่างน้อย 2 ครั้ง/ส่วน/สัปดาห์ และไม่ควรออกกำลังกายกล้ามเนื้อส่วนเดิมซ้ำติดต่อกัน
ควรเว้นอย่างน้อย 1-2 วัน ตัวอย่างเช่น ถ้าวันจันทร์
ออกกำลังกายด้วยยางยืดบริเวณกล้ามเนื้อส่วนบน ควรออกกำลังกายกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวซ้ำในวันพุธหรือพฤหัสบดี และเป็นต้น
|
|
2. ความหนัก
(Intensity)
|
- ความหนัก (Load)
คือปริมาณน้ำหนักหรือแรงต้านที่ใช้สำหรับการออกกำลังกายในแต่ละเซต
|
- การคำนวณความหนักจะมีการใช้หลักการหา 1-RM(1 Repetition
Maximum) เข้ามาช่วยในการกำหนดน้ำหนักหรือแรงต้านสำหรับการออกกำลังกาย
ซึ่ง 1-RM คือความสามารถในการยกน้ำหนักสูงสุดได้อย่างสมบูรณ์เพียง 1 ครั้ง เช่น นาย A ฝึกท่ายกดัมเบลแบบงอศอก (Biceps curl) ด้วยดัมเบลน้ำหนัก 15 กิโลกรัม โดยสามารถยกได้สมบูรณ์เพียงครั้งแรก
เมื่อยกครั้งที่สองไม่สามารถทำได้อย่างสมบูรณ์ จะแปลผลได้ว่า ค่า 1-RM ของนาย A มีค่าเท่ากับ 15 กิโลกรัม
จากนั้นจะนำค่าที่ได้ไปคำนวณเป็น %1-RM ที่อยากได้ สมมติต้องการ 80 %1-RM
จะได้ค่าเท่ากับ 12 กิโลกรัม เป็นต้น
|
|
- วิธีการหา 1-RM มีข้อเสียคือ เสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้อบาดเจ็บได้ง่าย
เพราะน้ำหนักที่ใช้ค่อนข้างหนัก จึงใช้การหา 10-RM (คือ
ความสามารถในการยกน้ำหนักได้อย่างสมบูรณ์เพียง 10 ครั้ง) ในการหาค่าความหนักแทน
ซึ่งเมื่อได้ค่า 10-RM แล้วจะต้องนำไปคำนวณสูตร
เพื่อแปลงเป็นค่า 1-RM ต่อไป
|
|
- ความหนักสำหรับการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ: 60-80 %1-RM
ความหนักสำหรับการเพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อ:
50
%1-RM
|
|
3. ระยะเวลา (ปริมาณ)
(Time&Volume)
|
- ไม่มีการระบุตายตัวในเรื่องระยะเวลาหรือจำนวนครั้งในการออกกำลังแบบมีแรงต้าน
|
- การออกกำลังกายแบบมีแรงต้านจะมีการกำหนดปริมาณในการออกกำลังกายเป็น
“ครั้ง” และ “เซต” เช่น ยกน้ำหนักท่า bench press 15 ครั้ง/เซต ทำ 3 เซต
ซึ่งเมื่อคิดเป็นจำนวนครั้งจะได้ทั้งหมด 45 ครั้ง เป็นต้น
เหตุผลในการกำหนดเซตของการออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อได้พักลดความเมื่อยล้า รวมทั้งส่งผลให้กล้ามเนื้อมีการฟื้นฟูพลังงาน
และพร้อมในการออกแรงยกในเซตถัดไป
|
|
3. ระยะเวลา (ปริมาณ)
(Time&Volume)
<ต่อ> |
- ระยะเวลาการพักระหว่างเซต ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้ฝึก ดังนี้
* ต้องการเพิ่มความแข็งแรงและมวลกล้ามเนื้อ
ควรพักระหว่างเซต 2-3
นาที
* ต้องการเพิ่มความทนทานกล้ามเนื้อ
อาจพักระหว่างเซตน้อยกว่า 2 นาที
(เนื่องจากวัตถุประสงค์การเพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อจะใช้ความหนักในการออกกำลังกายที่น้อยกว่าการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ)
|
- จำนวนครั้งในแต่ละเซต ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้ฝึก ดังนี้
* ต้องการเพิ่มความแข็งแรงและมวลกล้ามเนื้อ
ทำ <
8 ครั้ง/เซต
* ต้องการเพิ่มความทนทานกล้ามเนื้อ
ทำ >
15 ครั้ง/เซต
หมายเหตุ: จำนวนครั้งอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับความหนัก
และประสบการณ์การฝึกของแต่ละคน
|
|
- การกำหนดเซตในการออกกำลังกาย จะต้องมีการคำนึงถึงหลายปัจจัย เช่น
วัตถุประสงค์ของการออกกำลังกาย ความหนัก
ประสบการณ์การฝึกและประวัติการออกกำลังกาย ภาวะความผิดปกติต่างๆ ของร่างกาย เป็นต้น
สำหรับในระยะแรกของผู้ฝึกใหม่ควรต้องได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเป็นรายกรณีเพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้น
แต่โดยทั่วไปสำหรับผู้ฝึกใหม่อาจเริ่มต้นด้วยการออกกำลังกายโดยทำเซตละ 8-15
ครั้ง/เซต จำนวน 3-5 เซต/กลุ่มมัดกล้ามเนื้อ
|
|
4. ชนิดการออกกำลังกาย
(Type)
|
- การเล่นเวท (Weight training) การออกกำลังกายโดยใช้น้ำหนักตัวเป็นแรงต้าน
(Bodyweight or Calisthenics exercise) การฝึกพลัยโอเมตริก
(Plyometric exercise) การออกกำลังกายด้วยยางยืด (Band
resistance) การออกกำลังกายด้วย Gym ball การออกกำลังกายแบบพิลาทิส (Pilates exercise)
- กิจกรรมทางกายที่ส่งผลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เช่น การแบกหาม
การทำสวนอย่างหนัก (การขุดดินด้วยจอบ) เป็นต้น
|
อัตราการปรับเพิ่มความก้าวหน้าของการออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน
การเพิ่มความก้าวหน้าของการออกกำลังเพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาความสามารถของกล้ามเนื้อทั้งในด้านความแข็งแรงหรือความทนทาน
โดยการปรับความก้าวหน้าในการฝึกมีหลากหลายรูปแบบ ดังนี้
- การปรับเพิ่มจำนวนครั้งในการออกกำลังกายแต่ละเซต
-
การปรับเพิ่มน้ำหนักหรือการเพิ่มความหนัก
-
การปรับเพิ่มจำนวนเซตในการออกกำลังกาย
-
ลดระยะเวลาของช่วงพักระหว่างเซต
สำหรับช่วงแรกการปรับความก้าวหน้าของการออกกำลังกาย
ควรเริ่มต้นจากการเพิ่มจำนวนครั้งในการออกกำลังกายแต่ละเซตก่อน แล้วจึงปรับเพิ่มความหนักของการออกกำลังกาย
ตัวอย่างเช่น นาย A ต้องการออกกำลังกายเพิ่มมวลและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก
ปัจจุบันนาย A ออกกำลังกายท่า bench press จำนวน 10 ครั้ง/เซต ทำ
5 เซต โดยใช้ความหนัก 60 %1-RM ซึ่งนาย A
สามารถยกได้อย่างสบาย ดังนั้น การเพิ่มความก้าวหน้าในการฝึกของนาย A
ควรเพิ่มจำนวนครั้งในแต่ละเซตจาก 10 ครั้ง
เป็น 12-15 ครั้ง โดยใช้ความหนัก 60 %1-RM เมื่อนาย A สามารถปรับจำนวนการฝึกได้ถึง 12-15
ครั้ง/เซต แล้ว ในลำดับต่อไปนาย A สามารถปรับเพิ่มความหนักโดยปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 5 %1-RM ซึ่งจะได้ความหนักเท่ากับ 65 %1-RM สำหรับใช้ในการฝึก
การปรับความหนักในระยะแรกถ้านาย A ออกกำลังกายแล้วรู้สึกล้ากล้ามเนื้อมากเกินไป
สามารถปรับลดจำนวนครั้งในแต่ละเซตลงก่อนได้ นั่นคือนาย A จะออกกำลังกายด้วยความหนัก
65 %1-RM เป็นจำนวน 10 ครั้ง/เซต โดยไม่มีอาการล้ากล้ามเนื้อมากเกินไป